ประโยชน์จากราคาข้าวแพงตกอยู่กับใคร

ในภาวะที่สินค้าแพงขึ้นแทบทุกชนิด แม้แต่ข้าวซึ่งปกติมีแต่ปัญหาราคาตกต่ำก็กลับแพงขึ้นด้วย การที่ข้าวมีราคาแพงแม้ว่าน่าจะเป็นผลดีต่อชาวนา แต่กลับทำให้เกิดข้อถกเถียงว่าจริงหรือไม่
ดูเผิน ๆ ราคาข้าวเปลือกที่สูงขึ้นอย่างมากน่าจะทำให้เกษตรกรเป็นผู้รับประโยชน์ เนื่องจากข้าวเปลือกเป็นสินค้าที่ชาวนาขายให้กับพ่อค้าหรือโรงสี แต่ความเป็นจริงจะเป็นเช่นนั้นหรือไม่
เมื่อวิเคราะห์ลึกลงไป ชาวนาอาจได้รับประโยชน์บ้างแต่ไม่มากนัก เนื่องจากโดยปกติชาวนามักเก็บเกี่ยวข้าวนาปีในเดือนตุลาคม และจะขายผลผลิตให้พ่อค้าหรือโรงสีทันที แต่ช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคมที่ชาวนาขายข้าวเปลือกนั้น ราคาข้าวยังไม่สูงมากนัก ส่วนช่วงที่ข้าวเปลือกมีราคาสูงขึ้นอย่างรวดเร็วคือตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นมา เป็นช่วงที่ชาวนาขายข้าวนาปีที่เก็บเกี่ยวตั้งแต่ปีกลายไปแล้ว
ชาวนาที่ขายข้าวนาปีเมื่อปีที่ผ่านมาจึงไม่ได้รับประโยชน์มากนัก ยกเว้นชาวนาจำนวนน้อยรายที่มียุ้งฉางเก็บข้าว อย่างไรก็ตามชาวนาที่ปลูกข้าวนาปรังซึ่งกำลังจะมีผลผลิตออกมาช่วงเดือนเมษายนหรือพฤษภาคม อาจจะได้รับประโยชน์จากราคาข้าวที่สูงขึ้นเกือบ 2 เท่าในช่วง 6 เดือน
ในเมื่อชาวนาส่วนใหญ่ไม่ได้รับประโยชน์ แล้วใครเป็นผู้รับประโยชน์จากราคาข้าวที่สูงขึ้น? คำตอบคือ ldquo;ผู้ที่มีความสามารถในการคาดการณ์ตลาดล่วงหน้า และมีศักยภาพในการกักตุนข้าวเปลือกไว้ได้rdquo;
ประชาชนทั่วไปอาจเข้าใจว่า โรงสีเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์จากราคาข้าวที่สูงขึ้น แต่ในความเป็นจริง เจ้าของโรงสีรายย่อยอาจได้รับกำไรบ้างแต่ไม่มากมายอย่างที่เข้าใจกัน เนื่องด้วยเหตุผลสามประการ
ประการแรก โรงสีรายย่อยมีเป็นจำนวนมากและแข่งกันเพื่อรับซื้อผลผลิตจากชาวนา โรงสีรายย่อยเหล่านี้อาจมีอำนาจเหนือตลาดอยู่บ้าง แต่ไม่ถึงขั้นเป็นผู้ผูกขาด
ประการต่อมา โรงสีรายย่อยมักเป็นกิจการดั้งเดิมที่มีองค์ความรู้จำกัด ขณะที่บริบทในตลาดข้าวเปลี่ยนไปมาก เถ้าแก่โรงสีเหล่านี้จึงไม่สามารถคาดการณ์แนวโน้มราคาข้าวได้แม่นยำนัก จึงจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การเก็บข้าวเปลือกไว้เพื่อรอการสีเมื่อราคาข้าวสูงขึ้น แต่โรงสีจำนวนมากจะซื้อข้าวจากชาวนาแล้วนำไปสีเพื่อขายทันที เพราะถึงจะได้กำไรไม่มากมายนักแต่ก็มีกำไรที่แน่นอน
ประการสุดท้าย โรงสีรายย่อยมีสายป่านสั้น แม้จะกล้าเสี่ยงในการกักตุนข้าวเปลือกไว้ แต่ก็ไม่สามารถซื้อข้าวมากักตุนได้ในปริมาณมากนัก
ขณะที่ธุรกิจการเกษตรขนาดใหญ่เป็นองค์กรที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพสูงมาก และพร้อมในทุกด้าน ทั้งสายป่านที่ยาวจึงสามารถแข่งขันกับโรงสีรายย่อยในการซื้อข้าวจากชาวนา (ซึ่งเป็นเรื่องดี) และสามารถกักตุนข้าวเปลือกจำนวนมากได้ ธุรกิจการเกษตรขนาดใหญ่ยังมีองค์ความรู้และบุคลากรในองค์กรที่มีทักษะสูง ทำให้มีความเข้าใจสภาพตลาด และสามารถคาดการณ์ราคาในอนาคตได้อย่างแม่นยำ และดำเนินกลยุทธ์อย่างชาญฉลาด โดยจะกว้านซื้อข้าวเปลือกจากชาวนาในราคาสูงกว่าโรงสีรายย่อย และยอมจ่ายค่าเช่ายุ้งฉางเก็บข้าว เพราะมั่นใจว่าจะสามารถทำกำไรจากราคาข้าวที่จะสูงขึ้นอีกมากในอนาคต
จึงเป็นไปได้ว่า ผู้รับประโยชน์มากที่สุดในภาวะที่ราคาข้าวสูงขึ้น คือ บริษัทการเกษตรรายใหญ่ อย่างไรก็ตาม ผมมิได้เห็นว่าบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้เป็นผู้ร้าย เพราะผู้ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าสมควรได้รับกำไรสูงกว่า แต่เราจะทำอย่างไรให้กำไรตกไปอยู่กับผู้ผลิตรายย่อย โดยเฉพาะชาวนามากขึ้น
admin
เผยแพร่: 
หนังสือพิมพ์บางกอกทูเดย์
เมื่อ: 
2008-06-21