รัฐบาลใหม่... เร่งสางวิกฤตการศึกษาไทย


* ที่มาของภาพ - http://members.graphicsfactory.com/clip-art/image_files/image/0/626700-book001.gif

ไม่ว่าพรรคใดได้เข้ามาเป็นรัฐบาล สิ่งหนึ่งที่รัฐบาลใหม่ควรเร่งดำเนินการคือ การพัฒนาด้านการศึกษา เพราะเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาประเทศ การศึกษาไทยมีปัญหาสะสมมายาวนาน หากไม่เร่งแก้ไขจะขยายผลและส่งผลกระทบให้เกิดปัญหาอื่นตามมา ซึ่งปัญหาการศึกษาที่รัฐบาลใหม่ต้องเร่งหาทางออกและแก้ไขอย่างเร่งด่วน คือ

แก้ไขและกำหนดความชัดเจนเกี่ยวกับอุดหนุนการจัดการศึกษา 12 ปี

พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 10 กำหนดให้ผู้เรียนทุกคนมีสิทธิได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีคุณภาพไม่น้อยกว่า 12 ปี โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่ที่ผ่านมาไม่สามารถทำได้จริง การประเมินการบังคับใช้กฎหมายการศึกษา ปี 2548 ของสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ในประเด็นการจัดการศึกษาโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย โดยได้สอบถามผู้บริหารสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) คณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษา ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ผู้บริหารสถานศึกษา และครู พบว่า การศึกษาไม่ได้ฟรีจริงอย่างที่คิด มีเพียงร้อยละ 36.8 ที่ไม่เก็บค่าใช้จ่าย และร้อยละ 63.2 มีการเก็บค่าใช้จ่าย เนื่องจากงบประมาณที่รัฐจัดสรรให้และเงินอุดหนุนไม่เพียงพอ

ปัญหาดังกล่าว เริ่มต้นจากการไม่มีกฎหมายลูกรองรับตั้งแต่แรก ขณะที่ผู้บริหารสถานศึกษาเข้าใจดีว่าหากปฏิบัติตามกฎหมายจะทำให้งบฯ ไม่เพียงพอ จึงหาช่องทางโดยการจัดโปรแกรมพิเศษต่าง ๆ เพื่อหารายได้ ทำให้เกิดเสียงวิจารณ์ว่าการศึกษาไม่ฟรีจริง ยิ่งพรรคการเมืองที่เข้ามาเป็นรัฐบาลใหม่มีนโยบายเรียนฟรี หากไม่มีกฎหมายรองรับที่ดีพอ นอกจากจะไม่สามารถจัดการศึกษาให้ฟรีจริงแล้ว ยังสร้างความไม่เท่าเทียมทางการศึกษา เพราะคนรวยได้เปรียบคนจน และอาจเป็นภาระต่องบประมาณประเทศ

แก้ไขและพัฒนาคุณภาพการศึกษาไทยที่ตกต่ำ

การประเมินผลการศึกษาของไทย โดยหน่วยงานภายในประเทศไทยและต่างประเทศ ชี้ชัดว่าคุณภาพการศึกษาไทยมีปัญหา ผลการประเมินในโครงการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ (Programme for International Student Assessment: PISA) ปี 2549 โดยองค์การ OECD พบว่า มีนักเรียนไทยถึงร้อยละ 47 รู้วิทยาศาสตร์ต่ำกว่าระดับพื้นฐาน ผลการประเมินขององค์กรยูเนสโก (UNESCO) พบว่า ประเทศไทยควรปรับปรุงคุณภาพการศึกษาตั้งแต่ปฐมวัยจนถึงอุดมศึกษา และผลการประเมินของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) ปี 2548 พบว่า ระดับปฐมวัย เด็กปฐมวัยมากถึง 1 ใน 6 ได้รับการศึกษาไม่ทั่วถึงทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ ระดับการศึกษาชั้นพื้นฐาน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในวิชาต่าง ๆ ต่ำกว่าร้อยละ 50 ทุกวิชา และขาดทักษะการคิด ระดับอาชีวศึกษา ไม่สามารถจัดการศึกษาเพื่อสนองต่อตลาดแรงงาน ระดับอุดมศึกษา ขาดศักยภาพในการพัฒนางานวิชาการ การควบคุมคุณภาพการศึกษาไม่ดีพอ มีการเปิดหลักสูตรที่ไม่ได้คุณภาพ หากปล่อยหากปล่อยเช่นนี้ต่อไป ทรัพยากรบุคคลของประเทศจะด้อยคุณภาพลงเรื่อย ๆ

แก้ไขและพัฒนาปัญหาขาดแคลนครูทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ

การขาดแคลนครูเป็นปัญหาที่รุนแรงขึ้นมากในช่วงโครงการเออลี่รีไทร์ โดยตั้งแต่ปี 2543 จนถึงปัจจุบัน ได้รับอัตรากำลังครูคืนเพียงร้อยละ 26 หากรัฐบาลใหม่ตัดสินใจให้ครูเข้าร่วมโครงการเออร์ลี่รีไทร์ในปี 2552 ขณะที่ยังไม่ได้รับอัตรากำลังคืนทั้งหมด ยิ่งเป็นการซ้ำเติมปัญหา นอกจากนี้ การขาดแคลนครูยังเกิดจากการที่ไม่มีใครอยากเป็นครู เนื่องจากเงินเดือนน้อยและความรับผิดชอบมาก จากการประเมินของ OECD ปี 2005 (Education at a Glance 2005) พบว่าครูไทยมีผลตอบแทนและสวัสดิการต่ำ แต่มีชั่วโมงการทำงานที่สูง โดยครูไทยต้องรับผิดชอบนักเรียนประมาณ 40 คน ต่อ 1 ห้องเรียน ชั่วโมงการทำงานอยู่ระหว่าง 900-1,200 ชั่วโมงต่อปี สูงกว่าค่าเฉลี่ยในประเทศกลุ่ม OECD ซึ่งอยู่ที่ 600-700 ชั่วโมงต่อปี อัตราเงินเดือนขั้นต้นของครูไทยอยู่ที่ 6,048 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในประเทศกลุ่ม OECD ซึ่งอยู่ที่ 20,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี ปัญหาการขาดแคลนครูจะส่งผลเสียต่อคุณภาพการศึกษาไทยในอนาคต หากรัฐบาลหน้าไม่แก้ไขอย่างจริงจัง

ทางออกวิกฤตการศึกษาไทยทั้ง 3 ประการ ต้องอาศัยความจริงจัง ความต่อเนื่อง มีการกำหนดกลไก มาตรการและขั้นตอนดำเนินการที่ชัดเจน โดยมุ่งเพื่อประโยชน์ส่วนรวมเป็นสำคัญ จุดขับเคลื่อนสำคัญคือ เริ่มโดยคัดเลือกผู้ที่เข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการจากบุคคลที่มีความเหมาะสมคือ มีความเชี่ยวชาญด้านการศึกษา มีวิสัยทัศน์ มีภาวะผู้นำ สามารถบริหารเชิงกลยุทธ์ มีคุณธรรมจริยธรรม สามารถสร้างความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อแก้ปัญหาการศึกษา และที่สำคัญต้องเป็นผู้ที่มุ่งมั่นไม่เอนเอียงไปตามกระแสการเมือง ตั้งใจให้การศึกษาไทยพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นเป็นที่ตั้ง

แสดงความคิดเห็น
admin
เผยแพร่: 
0
เมื่อ: 
2008-01-05